- ข้อมูลเศรษฐกิจการเกษตร
- สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
- รายละเอียดสถานการณ์ผลิดและการตลาด
สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 19-25 เมษายน 2564
ข้าว
1.สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1 พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และงบประมาณ ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย
3 มาตรการ ได้แก่
(1)โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 8,600 บาทรวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่
เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปีการผลิต 2563/64โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2563/64 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร
ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน)นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
3)โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ขอดำเนินการจ่ายเงินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ก่อนในเบื้องต้น
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,822 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,888 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.55
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,101 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,159 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.63
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 24,550 บาท ราคาลดลงจากตันละ 24,925 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.50
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,750 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,250 บาท ในสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 3.51
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 811 ดอลลาร์สหรัฐฯ (25,166 บาท/ตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (25,229 บาท/ตัน) แต่ราคาลดลงในรูปเงินบาทตันละ 63 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 487 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,112 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 504 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,679 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.37 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 567 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 484 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,019 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,554 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.20 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 535 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.0310 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2563/64 ณ เดือนเมษายน 2564ผลผลิต 504.167 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 497.692 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2562/63 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.30
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลกปี 2563/64 ณ เดือน
เมษายน 2564 มีปริมาณผลผลิต 504.167 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.30 การใช้ในประเทศ 504.309 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.61 การส่งออก/นำเข้า 45.975 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก
ปี 2562/63 ร้อยละ 2.24 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 177.740 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2562/63 ร้อยละ 0.08
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย กัมพูชา จีน กายานา อินเดีย ปากีสถาน ไทย เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล เมียนมา อียู ปารากวัย ตุรกี และอุรุกวัย
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ บังกลาเทศ ไอเวอรี่โคสต์ เอธิโอเปีย อียู กานา อินโดนีเซีย อิหร่าน อิรัก ญี่ปุ่น เคนย่า แอฟริกาใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ เบนิน บราซิล จีน กินี มาเลเซีย เม็กซิโก โมแซมบิค เนปาล ฟิลิปปินส์ ซาอุดิอาระเบีย เซเนกัล และสหรัฐอเมริกา
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ บังกลาเทศ จีน อินเดีย และญี่ปุ่น
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เวียดนาม
ภาวะราคาข้าวปรับลดลงเนื่องจากผู้ส่งออกเสนอราคาลดลงเพื่อแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอื่นๆ เช่น ไทย อินเดีย (หลังจากปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี ที่ประมาณตันละ 515-520 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554) โดยข้าวขาว 5% ราคาอยู่ที่ประมาณตันละ 505-510 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากตันละ 515-520 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า
The Oceanic Agency and Shipping Service รายงานว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 21 มีนาคม-5 เมษายน 2564 จะมีเรือบรรทุกสินค้าอย่างน้อย 11 ลำ เข้ามารอรับขนถ่ายสินค้าข้าว (breakbulk ships) ที่ท่าเรือ Ho Chi Minh City Port เพื่อรับมอบข้าวประมาณ 192,300 ตัน
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
“อินเดีย” ถล่มส่งออกข้าว เวียนเทียนสต็อกราคาถูก
“อินเดีย” ถล่มส่งออกข้าวหลังรัฐบาลชูนโยบายขายข้าวถูกให้ประชาชน หวั่นเวียนเทียนสต็อกต้นทุนต่ำ
มาส่งออก ด้านเอกชนชี้ปัจจัยลบข้าวไทยเพียบ ทั้งผลผลิตหด ราคาพุ่งแซงคู่แข่งทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
ขาดตู้คอนเทนเนอร์ส่งออก ยอด 2 เดือนแรก ได้แค่ 8.29 แสน ได้แค่เบอร์ 3 โลก
นายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในกรณีที่รัฐบาลอินเดียมีนโยบายขายข้าวราคาถูกให้กับผู้บริโภคภายในประเทศ เพื่อให้ได้มีข้าวรับประทาน บรรเทาภาระ
ค่าครองชีพ แต่ยังมีข้อสังเกตว่า ข้าวที่รัฐบาลนำออกมาขายให้กับประชาชนในราคาถูกนั้น มีโอกาสจะถูกนำมาหมุนเวียนขายให้กับผู้ส่งออก ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกอินเดียได้ข้าวที่มีต้นทุนถูกนำมาส่งออกแข่งขัน
ในตลาดโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดข้าวของไทยเช่นกัน ประกอบกับราคาข้าวไทยสูงจึงมีโอกาสที่จะเสียตลาดให้กับอินเดียเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก สอดคล้องกับนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ราคาข้าวไทยมีโอกาสจะปรับตัวสูงขึ้นห่างจากราคาของประเทศคู่แข่งประมาณ 120-130 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
จากปริมาณผลผลิตข้าวไทยในปี 2564/65 จะลดลงจากปัญหาภัยแล้งซึ่งติดต่อกันมา 2-3 ปีต่อเนื่อง
ขณะที่คาดการณ์ผลผลิตทั่วโลก ทั้งจีน อินเดีย ปากีสถาน และเวียดนาม ไม่ได้ปรับลดลง โดยเฉพาะอินเดีย
ซึ่งมีโอกาสที่จะส่งออกมากขึ้น เนื่องจากข้าวราคาถูกกว่าไทย ประกอบกับค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นช่วงต้นปี ซึ่งเป้าหมายการส่งออกข้าวไทยทั้งปี 2564 ให้ได้ 6 ล้านตัน จึงเป็นการทำตลาดที่ท้าทายมาก
“ไทยมีโอกาสจะพลิกมาทำตลาดเพิ่มขึ้นได้ หากประเทศผู้นำเข้าอินโดนีเซีย บังกลาเทศ ตัดสินใจนำเข้าข้าวไทยในปีนี้”
จากรายงานกระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) ระบุว่า ผลผลิตข้าวอินเดียปีนี้น่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 117.9 ล้านตันข้าวสาร เป็น 118 ล้านตันข้าวสาร เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง ส่วนความต้องการบริโภคภายในประเทศมีปริมาณ 103 ล้านตันข้าวสาร เท่ากับว่าอินเดียมีผลผลิตส่วนเกินอยู่ถึง 15 ล้านตัน ส่วนปริมาณ
ข้าวในสต็อกของอินเดียคาดว่าจะมีปริมาณ 50 ล้านตันข้าวสาร อีกทั้งยังพบว่านโยบายของรัฐบาลอินเดียยังสนับสนุน ส่งเสริมการเพาะปลูกข้าว โดยสนับสนุนเงินอุดหนุนค่าปลูกข้าวและเครื่องเกี่ยวนวดข้าว รวมถึงการจัดจำหน่ายข้าว
ทั้งนี้ หากเทียบราคาส่งออกข้าวในอินเดียอยู่ในระดับทรงตัว อาทิ ข้าวขาว 5% ราคาตันละ 408-412 ดอลลาร์สหรัฐฯ ข้าวนึ่ง ตันละ 383-387 ดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับราคาส่งออกข้าวไทย อาทิ ข้าวขาว 5% ราคาตันละ 509 ดอลลาร์สหรัฐฯ ข้าวนึ่ง ตันละ 519 ดอลลาร์สหรัฐฯ
“ที่ผ่านมาอินเดียส่งออกข้าวบาสมาติไปยังในตลาดสหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง และสหภาพยุโรป ซึ่งจะไปแข่งขันกับกลุ่มข้าวนึ่งของไทย และเอเชียใต้เพิ่มสูงขึ้นกว่าในช่วงที่ผ่านมา โดยมีการคาดการณ์ว่ายอดส่งออกข้าวอินเดียในปีนี้มีปริมาณถึง 12 ล้านตันข้าวสาร ยังคงเป็นอันดับ 1 ของโลก ขณะที่การส่งออกข้าวไทยน่าจะทำได้เพียง 6 ล้านตัน ซึ่งในเดือนที่ผ่านมาไทยตกไปอยู่อันดับ 3 ของโลกแล้ว”
ล่าสุด สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยรายงานผลการส่งออกข้าวในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีปริมาณ 407,800 ตันลดลงร้อยละ 3.2 จากเดือนก่อนหน้าที่มีการส่งออกปริมาณ 421,477 ตัน และในด้านมูลค่า 7,716 ล้านบาท ลดลง
ร้อยละ 1.4 จากเดือนก่อนหน้าที่มีมูลค่า 7,826 ล้านบาท ส่งผลให้การส่งออกข้าวช่วง 2 เดือนแรกของปี (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2564) มีปริมาณ 829,277 ตัน มูลค่า 15,542.4 ล้านบาท หรือ 521.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 12.6 และร้อยละ 11.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีการส่งออกปริมาณ 949,163 ตัน มูลค่า 17,563.4 ล้านบาท หรือ 584.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ ไทยกลายเป็นผู้ส่งออกอันดับ 3 ของโลก ตามหลังประเทศอินเดีย และปากีสถาน เนื่องจากราคาข้าวไทยสูงกว่า ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้นยังไม่คลี่คลายเท่าที่ควร
ทั้งนี้ สมาคมฯ คาดว่าในเดือนมีนาคม 2564 ปริมาณส่งออกข้าวจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาประมาณ 400,000-450,000 ตัน
ที่มา: prachachat.net
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์และอุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 28.786 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว
2.1) การวางแผนการผลิตข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการวางแผนการผลิตข้าว ปี 2563/64
รวม 69.409 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 30.865 ล้านตันข้าวเปลือก จำแนกเป็น รอบที่ 1 พื้นที่ 59.884 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 24.738 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 9.525 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 6.127 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถปรับสมดุลการผลิตได้ในการวางแผนรอบที่ 2 หากราคามีความอ่อนไหว ความต้องการใช้ข้าวลดลง และสถานการณ์น้ำน้อย รวมทั้งการปรับลดพื้นที่การปลูกข้าวไปปลูกพืชอื่น โดยจะมีการทบทวนโครงการ
ลดรอบการปลูกข้าวก่อนฤดูกาลเพาะปลูกข้าวรอบที่ 2
2.2) การจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการจัดทำพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 จำนวน 59.884 ล้านไร่ แยกเป็น 1) ข้าวหอมมะลิ 27.500 ล้านไร่ ผลผลิต 9.161 ล้านตันข้าวเปลือก 2) ข้าวหอมไทย 2.084 ล้านไร่ ผลผลิต 1.396 ล้านตันข้าวเปลือก 3) ข้าวเจ้า 13.488 ล้านไร่ ผลผลิต 8.192 ล้านตันข้าวเปลือก 4) ข้าวเหนียว 16.253 ล้านไร่ ผลผลิต 5.770 ล้านตันข้าวเปลือก และ 5) ข้าวตลาดเฉพาะ 0.559 ล้านไร่ ผลผลิต 0.219 ล้านตันข้าวเปลือก
2.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่โครงการส่งเสริมระบบนาแบบแปลงใหญ่โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตพืช โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้สู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวกข43 และข้าวเจ้าพื้นนุ่ม (กข79) และโครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าว
2.5) การควบคุมปริมาณการผลิตข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย
2.6) การพัฒนาชาวนา ได้แก่ โครงการชาวนาปราดเปรื่อง
2.7) การวิจัยและพัฒนา ได้แก่ โครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวคุณภาพดีเพื่อการแข่งขัน และโครงการปรับปรุงและการรับรองพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่
2.8) การประกันภัยพืชผล ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศ
4.1) การพัฒนาตลาดสินค้าข้าว ได้แก่ โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร และโครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
4.2) การชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด ได้แก่โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกและโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศ
5.1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ ได้แก่ การเจรจาขยายตลาดข้าวและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในต่างประเทศ โครงการกระชับความสัมพันธ์ และรณรงค์สร้างการรับรู้ในศักยภาพข้าวไทยเพื่อขยายตลาดไทยในต่างประเทศ และโครงการ ลด/แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าข้าวไทยและเสริมสร้างความเชื่อมั่น
5.2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าวและนวัตกรรมข้าว ได้แก่ โครงการส่งเสริมและขยายตลาดข้าวไทยเชิงรุก โครงการผลักดันข้าวหอมมะลิไทยคุณภาพดีจากแหล่งผลิตสู่ตลาดโลก โครงการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในงานแสดงสินค้านานาชาติ โครงการจัดประชุม Thailand Rice Convention 2021 และโครงการเสริมสร้างศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยเพื่อการต่อยอดเชิงพาณิชย์
5.3) ส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐาน และปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย
5.4) ประชาสัมพันธ์รณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยในตลาดข้าวต่างประเทศ
2) มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 และงบประมาณ ดังนี้
2.1) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/64 รอบที่ 1 โดยกำหนดชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) ดังนี้ (1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาประกันตันละ 15,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 14 ตัน (2) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาประกันตันละ 14,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน (3) ข้าวเปลือกเจ้า ราคาประกันตันละ 10,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ตัน (4) ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาประกันตันละ 11,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ตัน และ (5) ข้าวเปลือกเหนียว ราคาประกันตันละ 12,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 16 ตัน
2.2) มาตรการคู่ขนานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 ประกอบด้วย
3 มาตรการ ได้แก่
(1)โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2563/64 โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 1.82 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 11,000 บาทข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 9,500 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 5,400 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 7,300 บาท และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 8,600 บาทรวมทั้งเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่
เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปีการผลิต 2563/64โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป วงเงินสินเชื่อเป้าหมาย 15,000 ล้านบาท
คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 4 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3 ต่อปี
(3)โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2563/64 ผู้ประกอบการค้าข้าวรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกร
ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน)นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3
3)โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64
ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ (ครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ขอดำเนินการจ่ายเงินเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 500 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท ก่อนในเบื้องต้น
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 11,822 บาท ราคาลดลงจากตันละ 11,888 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.55
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 9,101 บาท ราคาลดลงจากตันละ 9,159 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.63
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 24,550 บาท ราคาลดลงจากตันละ 24,925 บาท ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.50
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,750 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,250 บาท ในสัปดาห์ก่อน
ร้อยละ 3.51
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 811 ดอลลาร์สหรัฐฯ (25,166 บาท/ตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (25,229 บาท/ตัน) แต่ราคาลดลงในรูปเงินบาทตันละ 63 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 487 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,112 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 504 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,679 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.37 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 567 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 484 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,019 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,554 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.20 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 535 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.0310 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2563/64 ณ เดือนเมษายน 2564ผลผลิต 504.167 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 497.692 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2562/63 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.30
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลกปี 2563/64 ณ เดือน
เมษายน 2564 มีปริมาณผลผลิต 504.167 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.30 การใช้ในประเทศ 504.309 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2562/63 ร้อยละ 1.61 การส่งออก/นำเข้า 45.975 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก
ปี 2562/63 ร้อยละ 2.24 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 177.740 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2562/63 ร้อยละ 0.08
โดยประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ออสเตรเลีย กัมพูชา จีน กายานา อินเดีย ปากีสถาน ไทย เวียดนาม และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล เมียนมา อียู ปารากวัย ตุรกี และอุรุกวัย
สำหรับประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ บังกลาเทศ ไอเวอรี่โคสต์ เอธิโอเปีย อียู กานา อินโดนีเซีย อิหร่าน อิรัก ญี่ปุ่น เคนย่า แอฟริกาใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ เบนิน บราซิล จีน กินี มาเลเซีย เม็กซิโก โมแซมบิค เนปาล ฟิลิปปินส์ ซาอุดิอาระเบีย เซเนกัล และสหรัฐอเมริกา
ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะมีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ บังกลาเทศ จีน อินเดีย และญี่ปุ่น
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เวียดนาม
ภาวะราคาข้าวปรับลดลงเนื่องจากผู้ส่งออกเสนอราคาลดลงเพื่อแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอื่นๆ เช่น ไทย อินเดีย (หลังจากปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี ที่ประมาณตันละ 515-520 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554) โดยข้าวขาว 5% ราคาอยู่ที่ประมาณตันละ 505-510 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากตันละ 515-520 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า
The Oceanic Agency and Shipping Service รายงานว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 21 มีนาคม-5 เมษายน 2564 จะมีเรือบรรทุกสินค้าอย่างน้อย 11 ลำ เข้ามารอรับขนถ่ายสินค้าข้าว (breakbulk ships) ที่ท่าเรือ Ho Chi Minh City Port เพื่อรับมอบข้าวประมาณ 192,300 ตัน
ที่มา: สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
“อินเดีย” ถล่มส่งออกข้าว เวียนเทียนสต็อกราคาถูก
“อินเดีย” ถล่มส่งออกข้าวหลังรัฐบาลชูนโยบายขายข้าวถูกให้ประชาชน หวั่นเวียนเทียนสต็อกต้นทุนต่ำ
มาส่งออก ด้านเอกชนชี้ปัจจัยลบข้าวไทยเพียบ ทั้งผลผลิตหด ราคาพุ่งแซงคู่แข่งทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
ขาดตู้คอนเทนเนอร์ส่งออก ยอด 2 เดือนแรก ได้แค่ 8.29 แสน ได้แค่เบอร์ 3 โลก
นายวิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในกรณีที่รัฐบาลอินเดียมีนโยบายขายข้าวราคาถูกให้กับผู้บริโภคภายในประเทศ เพื่อให้ได้มีข้าวรับประทาน บรรเทาภาระ
ค่าครองชีพ แต่ยังมีข้อสังเกตว่า ข้าวที่รัฐบาลนำออกมาขายให้กับประชาชนในราคาถูกนั้น มีโอกาสจะถูกนำมาหมุนเวียนขายให้กับผู้ส่งออก ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกอินเดียได้ข้าวที่มีต้นทุนถูกนำมาส่งออกแข่งขัน
ในตลาดโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดข้าวของไทยเช่นกัน ประกอบกับราคาข้าวไทยสูงจึงมีโอกาสที่จะเสียตลาดให้กับอินเดียเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก สอดคล้องกับนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ราคาข้าวไทยมีโอกาสจะปรับตัวสูงขึ้นห่างจากราคาของประเทศคู่แข่งประมาณ 120-130 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
จากปริมาณผลผลิตข้าวไทยในปี 2564/65 จะลดลงจากปัญหาภัยแล้งซึ่งติดต่อกันมา 2-3 ปีต่อเนื่อง
ขณะที่คาดการณ์ผลผลิตทั่วโลก ทั้งจีน อินเดีย ปากีสถาน และเวียดนาม ไม่ได้ปรับลดลง โดยเฉพาะอินเดีย
ซึ่งมีโอกาสที่จะส่งออกมากขึ้น เนื่องจากข้าวราคาถูกกว่าไทย ประกอบกับค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นช่วงต้นปี ซึ่งเป้าหมายการส่งออกข้าวไทยทั้งปี 2564 ให้ได้ 6 ล้านตัน จึงเป็นการทำตลาดที่ท้าทายมาก
“ไทยมีโอกาสจะพลิกมาทำตลาดเพิ่มขึ้นได้ หากประเทศผู้นำเข้าอินโดนีเซีย บังกลาเทศ ตัดสินใจนำเข้าข้าวไทยในปีนี้”
จากรายงานกระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) ระบุว่า ผลผลิตข้าวอินเดียปีนี้น่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 117.9 ล้านตันข้าวสาร เป็น 118 ล้านตันข้าวสาร เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง ส่วนความต้องการบริโภคภายในประเทศมีปริมาณ 103 ล้านตันข้าวสาร เท่ากับว่าอินเดียมีผลผลิตส่วนเกินอยู่ถึง 15 ล้านตัน ส่วนปริมาณ
ข้าวในสต็อกของอินเดียคาดว่าจะมีปริมาณ 50 ล้านตันข้าวสาร อีกทั้งยังพบว่านโยบายของรัฐบาลอินเดียยังสนับสนุน ส่งเสริมการเพาะปลูกข้าว โดยสนับสนุนเงินอุดหนุนค่าปลูกข้าวและเครื่องเกี่ยวนวดข้าว รวมถึงการจัดจำหน่ายข้าว
ทั้งนี้ หากเทียบราคาส่งออกข้าวในอินเดียอยู่ในระดับทรงตัว อาทิ ข้าวขาว 5% ราคาตันละ 408-412 ดอลลาร์สหรัฐฯ ข้าวนึ่ง ตันละ 383-387 ดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับราคาส่งออกข้าวไทย อาทิ ข้าวขาว 5% ราคาตันละ 509 ดอลลาร์สหรัฐฯ ข้าวนึ่ง ตันละ 519 ดอลลาร์สหรัฐฯ
“ที่ผ่านมาอินเดียส่งออกข้าวบาสมาติไปยังในตลาดสหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง และสหภาพยุโรป ซึ่งจะไปแข่งขันกับกลุ่มข้าวนึ่งของไทย และเอเชียใต้เพิ่มสูงขึ้นกว่าในช่วงที่ผ่านมา โดยมีการคาดการณ์ว่ายอดส่งออกข้าวอินเดียในปีนี้มีปริมาณถึง 12 ล้านตันข้าวสาร ยังคงเป็นอันดับ 1 ของโลก ขณะที่การส่งออกข้าวไทยน่าจะทำได้เพียง 6 ล้านตัน ซึ่งในเดือนที่ผ่านมาไทยตกไปอยู่อันดับ 3 ของโลกแล้ว”
ล่าสุด สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยรายงานผลการส่งออกข้าวในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีปริมาณ 407,800 ตันลดลงร้อยละ 3.2 จากเดือนก่อนหน้าที่มีการส่งออกปริมาณ 421,477 ตัน และในด้านมูลค่า 7,716 ล้านบาท ลดลง
ร้อยละ 1.4 จากเดือนก่อนหน้าที่มีมูลค่า 7,826 ล้านบาท ส่งผลให้การส่งออกข้าวช่วง 2 เดือนแรกของปี (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2564) มีปริมาณ 829,277 ตัน มูลค่า 15,542.4 ล้านบาท หรือ 521.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปริมาณและมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 12.6 และร้อยละ 11.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีการส่งออกปริมาณ 949,163 ตัน มูลค่า 17,563.4 ล้านบาท หรือ 584.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ ไทยกลายเป็นผู้ส่งออกอันดับ 3 ของโลก ตามหลังประเทศอินเดีย และปากีสถาน เนื่องจากราคาข้าวไทยสูงกว่า ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้นยังไม่คลี่คลายเท่าที่ควร
ทั้งนี้ สมาคมฯ คาดว่าในเดือนมีนาคม 2564 ปริมาณส่งออกข้าวจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาประมาณ 400,000-450,000 ตัน
ที่มา: prachachat.net
กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.90 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 7.95 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.63 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.24 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 6.39 ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.35
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.19 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 9.18 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.11 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.78 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.83 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.57
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 302.00 ดอลลาร์สหรัฐ (9,303 บาท/ตัน)สำหรับสัปดาห์ก่อนไม่มีรายงานราคา
2. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ คาดคะเนความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของโลก ปี 2563/64 มีปริมาณ 1,155.19 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 1,134.60 ล้านตัน ในปี 2562/63 ร้อยละ 1.90 โดยจีน อาร์เจนตินา เวียดนาม รัสเซีย บราซิล แคนาดา ไนจีเรีย เม็กซิโก อินโดนีเซีย อินเดีย และแอฟริกาใต้ มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้น สำหรับการค้าของโลกมี 185.11 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 174.98 ล้านตัน ในปี 2562/63 ร้อยละ 5.79 โดย สหรัฐอเมริกา บราซิล เซอร์เบีย ปารากวัย แอฟริกาใต้ และอินเดีย ส่งออกเพิ่มขึ้น ประกอบกับผู้นำเข้า เช่น อิหร่าน บราซิล โคลอมเบีย คอสตาริก้า โมร็อกโก เปรู มาเลเซีย จีน ชิลี สาธารณรัฐโดมินิกัน อิสราเอล กัวเตมาลา และแอลจีเรีย มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนพฤษภาคม 2564 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกัน ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 611.92 เซนต์ (7,574.39 บาท/ตัน) สูงขึ้นจากบุชเชลละ 585.40 เซนต์(7,242.57 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.58 และสูงขึ้นในรูปของเงินบาทตันละ 149.82 บาท
มันสำปะหลัง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2564 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 9.163 ล้านไร่ ผลผลิต 30.108 ล้านตัน ผลผลิตต่อไร่ 3.286 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.918 ล้านไร่ ผลผลิต 28.999 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.252 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.75 ร้อยละ 3.82 และร้อยละ 1.05 ตามลำดับ โดยเดือนเมษายน 2564 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 2.35 ล้านตัน (ร้อยละ 7.82 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2564 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2564 ปริมาณ 18.40 ล้านตัน (ร้อยละ 61.13 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดลดลง ทั้งนี้หัวมันสำปะหลังส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่โรงงานแป้งมันสำปะหลัง สำหรับลานมันเส้นเปิดดำเนินการไม่มาก
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.09 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 2.12 บาท ในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 1.42
ราคามันเส้นสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.59 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 5.98 บาท ในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 1.42
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ7.09 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 13.85 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 13.81 บาทในสัปดาห์ก่อนคิดเป็นร้อยละ 0.29
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 263 ดอลลาร์สหรัฐฯ (8,154 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน (8,178 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลังสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 473 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,665 บาทต่อตัน) ราคาลดลงจากตันละ 483 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,018 บาทต่อตัน) ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 2.35
ปาล์มน้ำมัน
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2564 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนเมษายนจะมีประมาณ 1.902
ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.342 ล้านตัน สูงขึ้นจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.526 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.275 ล้านตัน ของเดือนมีนาคม คิดเป็นร้อยละ 24.64 และร้อยละ 24.36 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 4.64 บาท ลดลงจาก กก.ละ 5.02 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 7.57
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 32.43 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 31.06 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.41
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ความต้องการน้ำมันประกอบอาหาร (Used Cooking Oil: UCO) ที่ใช้แล้วของ EU คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ภายในปี 2573 เนื่องจากนโยบาย green transport fuel ของ EU ที่ออกมาสนับสนุนการใช้ ถึงแม้ UCO จะต้องพึ่งการนำเข้ามากกว่าร้อยละ 50 โดยนำเข้าจากประเทศจีนถึงร้อยละ 34 และนำเข้าจากมาเลเซียและอินโดนีเซียรวมกันร้อยละ 19 แต่อย่างไรก็ตามยังมีข้อถกเถียงเรื่องการใช้ UCO ว่าจะทำให้ประเทศผู้ส่งออก UCO เพิ่มการใช้น้ำมันปาล์มมากยิ่งขึ้น เพื่อทดแทน UCO ที่ส่งออกมายัง EU
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 4,302.04 ดอลลาร์มาเลเซีย (33.16 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 4,228.81 ดอลลาร์มาเลเซีย (32.54 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.73
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,207.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (37.98 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 1,141.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (35.99 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 5.78
หมายเหตุ : ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน
อ้อยและน้ำตาล
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
ไม่มีรายงาน
2. สรุปภาวการณ์ผลิต การตลาดและราคาในต่างประเทศ
สมาคมโรงงานน้ำตาลของอินเดีย ISMA กล่าวว่า ความต้องการน้ำตาลในเดือนมีนาคมสูงขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้สมาคมยังปฏิเสธถึงการระบาดของโคโรน่าไวรัสที่จะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ลดลงโดยชี้ไปที่ราคาน้ำตาลในประเทศที่ยังคงทรงตัว นอกจากนี้โรงงานน้ำตาลได้ทำสัญญาส่งออกไปแล้ว 83% ของโควต้าการส่งออกทั้งหมด 6 ล้านตัน เนื่องจากราคาตลาดโลกที่สูงขึ้น ขณะที่แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า คาดว่าน้ำตาลอีกประมาณ 500,000-800,000 ตันจะถูกขายให้กับอัฟกานิสถานและอิหร่านภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า
ถั่วเหลือง
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 17.77 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 17.37 บาท ในสัปดาห์สัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.30
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 19.63 บาท
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,498.32 เซนต์ (17.33 บาท/กก.)
สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1,406.56 เซนต์ (16.30 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 6.52
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 414.92 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13.06 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 397.84 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.56 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.29
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 60.00 เซนต์ (41.62 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 53.99 เซนต์ (37.55 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 11.13
1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 17.77 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 17.37 บาท ในสัปดาห์สัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 2.30
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมันสัปดาห์นี้ กิโลกรัมละ 19.63 บาท
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
ราคาในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 1,498.32 เซนต์ (17.33 บาท/กก.)
สูงขึ้นจากบุชเชลละ 1,406.56 เซนต์ (16.30 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 6.52
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 414.92 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13.06 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 397.84 ดอลลาร์สหรัฐฯ (12.56 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.29
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 60.00 เซนต์ (41.62 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 53.99 เซนต์ (37.55 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 11.13
ยางพารา
ถั่วเขียว
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 30.00 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 36.00 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 24.00 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 37.00 บาท
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 999.00 ดอลลาร์สหรัฐ (31.00 บาท/กิโลกรัม)
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 966.80 ดอลลาร์สหรัฐ (30.00 บาท/กิโลกรัม)
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,193.40 ดอลลาร์สหรัฐ (37.03 บาท/กิโลกรัม)
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 804.60 ดอลลาร์สหรัฐ (24.97 บาท/กิโลกรัม)
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,219.60 ดอลลาร์สหรัฐ (37.85 บาท/กิโลกรัม)
ถั่วลิสง
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 57.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 54.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ฝ้าย
1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนพฤษภาคม 2564 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 84.80 เซนต์(กิโลกรัมละ 58.83 บาท) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 82.45 เซนต์ (กิโลกรัมละ 57.38 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.85 (สูงขึ้นในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 1.45 บาท)
ไหม
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,774 บาท ลดลงจาก 1, 828 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 2.95 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,774 บาท ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,497 บาท ลดลงจาก 1,520 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 1.51 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,497 บาท ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ไม่มีรายงาน
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 944 บาท ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปศุสัตว์
สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
ภาวะตลาดสุกรสัปดาห์นี้ ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคสอดรับกับผลผลิตเนื้อสุกรที่ออกสู่ตลาด แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 77.11 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 77.12 คิดเป็นร้อยละ 0.01 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 74.16 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 74.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 79.03 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 77.25 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 2,800 บาท ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 80.50 บาท ทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดสอดรับกับต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 34.58 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 34.59 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.03 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 33.74 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 42.91 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงานส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 10.50 บาท ลดลงจาก ตัวละ 11.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 8.69 จากสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 48.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
สถานการณ์ตลาดไข่ไก่สัปดาห์นี้ ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ที่ออกสู่ตลาดมีมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 265 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 268 บาท คิดเป็นร้อยละ 1.12 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 297 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 283 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 251 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 28.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 237 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 230 บาท คิดเป็นร้อยละ 3.04 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 340 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 343 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.87 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 343 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 357 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 316 บาท และภาคใต้ร้อยฟองละ 350 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 312 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 305 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.29 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา
โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 98.41 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 98.23 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.18 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 98.21 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 99.88 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 91.35 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 105.43 บาท
กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 78.73 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 78.16 บาท คิดเป็นร้อยละ 0.73 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.65 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 76.43 บาท ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา
ประมง
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 19 – 25 เมษายน 2564) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 75.16 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 75.96 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.80 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 151.87 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 154.47 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.60 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 138.33 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 145.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 6.67 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.20 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.18 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 9.02 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 220.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.31 บาท ราคาลดลง จากกิโลกรัมละ 7.46 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.15 บาท
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 19 – 25 เมษายน 2564) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 75.16 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 75.96 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.80 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 151.87 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 154.47 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.60 บาท
สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 138.33 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 145.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 6.67 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 77.20 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 68.18 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 9.02 บาท
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยสัปดาห์นี้กิโลกรัมละ 90.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 220.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 7.31 บาท ราคาลดลง จากกิโลกรัมละ 7.46 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.15 บาท
สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 28.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา